วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

computer project

ประเภทสื่อการเรียนรู้


ไฮเปอร์บุ๊ก (Hyperbook)


หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ แต่หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ก็คือ หนังสือที่เก็บอยู่ในรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์ หรือเก็บไว้อยู่ในแบบของไฟล์ โปรแกรมส่วนมากที่เข้าใจกันคือ หนังสือที่เก็บในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องใช้กระดาษ และมีการสร้างจากคอมพิวเตอร์ และสามารถอ่านได้จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก พีดีเอ(Personal Digital Assistant) Palm และ PocketPC หรือกระทั่งอ่านได้จากโทรศัพท์มือถือบางรุ่น
E-book เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่จะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ด้วยความสะดวกสบายของทั้งการสร้าง E-book ความสะดวกในการพกพา ขนาดที่เล็ก และสามารถอ่านได้ทุกที่ทุกเวลาที่มีอุปกรณ์พกพาที่สามารถอ่าน E-book ได้ สามารถสร้างให้ E-book นอกจากจะมีสีสันสวยงามเพื่อง่ายต่อการอ่าน และทำความเข้าใจแล้ว ยังสามารถใส่เสียง ภาพเคลื่อนไหว สร้างสารบัญ (Link) หรือการคลิกเพื่อส่ง E-Mail ไปยังผู้เขียน หรือ E-Mail ใน E-book ก็ได้
ข้อดีและข้อจำกัดของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
ข้อดีของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีข้อดีดังต่อไปนี้
1. เป็นสื่อที่รวมเอาจุดเด่นของสื่อแบบต่างๆ มารวมอยู่ในสื่อตัวเดียว คือ สามารถแสดงภาพ แสง เสียง ภาพเคลื่อนไหว และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้
2 .ช่วยให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาวิชาได้เร็วขึ้น
3. ครูสามารถใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในการชักจูงผู้เรียนในการอ่าน,การเขียน,การฟังและการพูดได้
4 . มีความสามารถในการออนไลน์ผ่านเครือข่ายและเชื่อมโยงไปสู่โฮมเพจและเว็บไซต์ต่างๆอีกทั้งยังสามารถอ้างอิงในเชิงวิชาการได้
5 . หากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตหรืออินทราเน็ตจะทำให้การกระจายสื่อทำได้อย่างรวดเร็ว และกว้างขว้างกว่าสื่อที่อยู่ในรูปสิ่งพิมพ์
6 . สนับสนุนการเรียนการสอนแบบห้องเรียนเสมือน ห้องสมุดเสมือนและห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
7. มีลักษณะไม่ตายตัว สามารถแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อักทั้งยังสามารถเชื่อมโยงไปสู่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้โดยใช้ความสามารถของไฮเปอร์เท็กซ์
8. ในการสอนหรืออบรมนอกสถานที่ การใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะช่วยให้เกิดความคล่องตัวยิ่งขึ้น เนื่องจากสื่อสามารถสร้างเก็บไว้ในแผ่นซีดีได้
9. การพิมพ์ทำได้รวดเร็วกว่าแบบใช้กระดาษ สามารถทำสำเนาได้เท่าที่ต้องการ ประหยัดวัสดุในการสร้างสื่อ อีกทั้งยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย
10. มีความทนทาน และสะดวกต่อการเก็บบำรุงรักษา ลดปัญหาการจัดเก็บเอกสารย้อนหลังซึ่งต้องใช้เนื้อที่หรือบริเวณกว้างกว่าในการจัดเก็บ รักษาหนังสือหายากและต้นฉบับเขียนไม่ให้เสื่อมคุณภาพ
11. ช่วยให้นักวิชาการและนักเขียนสามารถเผยแพร่ผลงานเขียนได้อย่างรวดเร็ว
ข้อจำกัดของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ถึงแม้ว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะมีข้อดีที่สนับสนุน
ด้านการเรียนการสอนมากมายแต่ก็ยังมีข้อจำกัดด้วยดังต่อไปนี้
1. คนไทยส่วนใหญ่ยังคงชินอยู่กับสื่อที่อยู่ในรูปกระดาษมากกว่าอีกทั้งหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ยังไม่สมารถใช้งานได้งายเมื่อเทียบกับสื่อสิ่งพิมพ์ และความสะดวกในการอ่านก็ยังน้อยกว่ามาก
2 .หากโปรแกรมสื่อมีขนาดไฟล์ใหญ่มากๆ จะทำให้การเปลี่ยนหน้าจอมีความล่าช้า
3.การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี ผู้สร้างต้องมีความรู้ และความชำนาญในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
4. ผู้ใช้สื่ออาจจะไม่ใช่ผู้สร้างสื่อฉะนั้นการปรับปรุงสื่อจึงทำได้ยากหากผู้สอนไม่มีความรู้ด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์
5.ใช้เวลาในการออกแบบมาก เพราะต้องใช้ทักษะในการออกแบบเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้สื่อที่มี
คุณภาพ

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โครงงานคอมพิวเตอร์


1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้

Desktop Author (โปรแกรม e-book สร้าง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์)


Desktop Author (โปรแกรม e-book สร้าง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์)


Desktop Author โปรแกรม e-book สร้าง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นโปรแกรมที่สามารถทำ e-publication สร้างเอกสารดิจิตอลหรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ อีบุ๊ค เพื่อการใช้งานในด้านต่างๆ 

TypingQueen Typing Tutor (โปรแกรม TypingQueen หัดพิมพ์ดีด)

 





TypingQueen Typing Tutor (โปรแกรม TypingQueen หัดพิมพ์ดีด)


ดาวน์โหลดโปรแกรม TypingQueen โปรแกรมสำหรับฝึกสอนการพิมพ์ดีด มีทั้งแบบเกมส์ และ แบบทดสอบการฝึกพิมพ์เพื่อให้ผู้ใช้เกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้น หลากหลายระดับ พร้อมออกรายงาน 

ที่มา
http://software.thaiware.com/

ตัวอย่างรูปเล่มโครงงาน


วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ตัวอย่างโครงงาน

ตัวอย่างโครงงานภาษาไทย
                          เรื่อง สำนวนภาษา คำพังเพยในท้องถิ่น

ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
          ภาษาไทยในแต่ละท้องถิ่น มีภาษาซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อาจจะแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ประเพณี อิทธิพล จากประเทศเพื่อนบ้าน ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศและความเป็นอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ ดังนั้น สำนวนภาษา และคำพังเพยที่ใช้จึงมีภาษาพูดที่แตกต่างกันออกไป แต่ความหมายยังคล้ายคลึงกัน เช่นเดียวกับสำนวนภาษา และคำพังเพยที่แตกต่างกันออกไป
          จึงได้ทำโครงงานการศึกษา สำนวนภาษาและคำพังเพยในท้องถิ่นของจังหวัดตรังขึ้น

วัตถุประสงค์
          1. เพื่อรวบรวมสำนวนภาษา และคำพังเพยที่มีในท้องถิ่น
          2. เพื่อหาความหมายของสำนวนภาษาและคำพังเพย
          3. เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไปนำไปใช้ให้ถูกต้อง

สมมุติฐานของการศึกษาค้นคว้า
          สำนวนภาษา และคำพังเพยแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน

ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า
          1. สถานที่สำรวจในพื้นที่จังหวัดตรัง
          2. ระยะเวลาศึกษาตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์ - 15 มีนาคม 2543

อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการศึกษา
          1. หนังสือเสริมทักษะภาษาไทย ป. 5
          2. พจนานุกรม ปทานุกรม
          3. เครื่องเขียน

วิธีการศึกษา
          1. สอบถาม สัมภาษณ์ จากครู ผู้ปกครอง และบุคคลแหล่งชุมชนในท้องถิ่น
          2. ศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดประชาชน
          3. สังเกตจากการเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน
          4. สร้างเครื่องมือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์
          5. รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล บันทึกผล

วิธีบันทึก
          1. บันทึกภาพ
          2. จดบันทึก
          3. แบบสอบถาม

สรุปผลการศึกษา
          ในการศึกษาสำนวนภาษา และคำพังเพยที่ใช้ในท้องถิ่น จังหวัดตรัง ได้ข้อมูลทั้งสิ้น 23 สำนวน ดังนี้
          1. หูทวนลม                หมายความว่า     พูดไม่ฟัง
          2. หยาบเหมือนขี้ช้าง   หมายความว่า    ไม่เรียบร้อย
          3. ขี้คร้านหลังยาว        หมายความว่า     เป็นคนขี้เกียจ
          4. สีซอให้ควายฟัง       หมายความว่า     ฟังแต่ไม่รับรู้
          5. สู้หลังชนฝา             หมายความว่า     สู้ไม่ถอย
          6. กินข้าวสองมือ         หมายความว่า     เป็นคนสุขสบาย
          7. ลิงหลอกเจ้า            หมายความว่า     ต่อหน้าทำดีลับหลังนินทา
          8. ต้มสิบน้ำไม่เปื่อย     หมายความว่า    เป็นคนเฉื่อยชา ไปเรื่อย ๆ
          9. เณรเกตุ                  หมายความว่า    เที่ยวไม่รู้หัวนอนปลายเท้า
         10. แมวงอกเขาเต่างอกขา      หมายความว่า     เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
         11. จับปูใส่ด้ง                         หมายความว่า     อยู่ไม่นิ่ง
         12. จับน้ำใส่โหลก โงกแลเงา   หมายความว่า     ให้เจียมตัว
         13. ใหญ่พร้าว เฒ่าลอกอ         หมายความว่า     โตแต่ตัว
         14. อยู่จนพร้าวเรียว                หมายความว่า      แต่งงานอยู่กินกันมานาน
         15. ไม่เข้าเค้า                        หมายความว่า      ไม่ได้เรื่อง
         16. ไม่สาเกลือ                        หมายความว่า      ไม่น่านับถือ
         17. ไม่สาไหร                          หมายความว่า      ไม่ได้เรื่อง
         18. ดำเหมือนกล้วยหมกลืม      หมายความว่า      เปรียบเทียบคนผิวดำ
         19. ดำเหมือนตอเคี่ยม             หมายความว่า      เปรียบเทียบคนผิวดำ
         20. นอนหวันแยงวาน                หมายความว่า      นอนตื่นสาย
         21. นอนหวันแยงตา                  หมายความว่า      นอนกลางวันจนค่ำ 
แล้วยังไม่ตื่น
         22. ทำงานหลาวหลาว               หมายความว่า      ทำงานขาดความรอบคอบ
         23. รวยหยังหยัง                       หมายความว่า       ร่ำรวยมาก

อภิปรายผลการศึกษา
          สำนวนภาษา คำพังเพย ที่ไปสำรวจได้ ถ้าพูดด้วยภาษถิ่นทางใต้ด้วยแล้ว บางครั้งคนฟังที่เป็นคนต่างถิ่น จะไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าใช้ภาษากลางพูด บางสำนวนฟังแล้วรู้เรื่อง เช่น สำนวนว่า "นอนหวันแยงวาน" หวัน หมายถึง ตะวัน แสงอาทิตย์ แยง หมายถึง ทิ่ม แทง วาน หมายถึง ทวาร ซึ่งคนมทางใต้นิยมพูดสั้น ๆ เอาพยางค์สุดท้ายของคำมาพูด อย่างไรก็ตาม ภาษาถิ่นแต่ละแห่งย่อมแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก

สรุปผลการศึกษา
          1. ได้สำนวนภาษา คำพังเพย จำนวน 23 สำนวน
          2. ได้ทราบความหมายของสำนวนทั้ง 23 สำนวน

ประโยชน์ที่ได้รับ
          1. ได้ทราบภาษาถิ่นที่เป็นสำนวนภาษา และคำพังเพย
          2. ได้ทราบความแตกต่างของภาษาถิ่นและภาษากลาง บางคำมาจากรากศัพท์เดียวกัน
          3. ภูมิใจในวัฒนธรรมของท้องถิ่น ภาษาของชาวบ้านที่สรรหาคำมาเปรียบเปรย

ข้อเสนอแนะ
          1. ทำโครงงานเรื่องนี้ต่อ โดยเก็บรวบรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
          2. จัดรวบรวม จำแนก จัดหมวดหมู่ให้เป็นระบบ

*************************************************
วัตถุประสงค์
          1. เพื่อรวบรวมสำนวนภาษา และคำพังเพยที่มีในท้องถิ่น
          2. เพื่อหาความหมายของสำนวนภาษาและคำพังเพย
          3. เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้แก่บุคคลทั่วไปนำไปใช้ให้ถูกต้อง

อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการศึกษา
          1. หนังสือเสริมทักษะภาษาไทย ป. 5
          2. พจนานุกรม ปทานุกรม
          3. เครื่องเขียน

วิธีการศึกษา
          1. สอบถาม สัมภาษณ์ จากครู ผู้ปกครอง และบุคคลแหล่งชุมชนในท้องถิ่น
          2. ศึกษาค้นคว้าจากห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดประชาชน
          3. สังเกตจากการเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน
          4. สร้างเครื่องมือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์
          5. รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล บันทึกผล

ประโยชน์ที่ได้รับ
          1. ได้ทราบภาษาถิ่นที่เป็นสำนวนภาษา และคำพังเพย
          2. ได้ทราบความแตกต่างของภาษาถิ่นและภาษากลาง บางคำมาจากรากศัพท์เดียวกัน
          3. ภูมิใจในวัฒนธรรมของท้องถิ่น ภาษาของชาวบ้านที่สรรหาคำมาเปรียบเปรย

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย (Wire Internet)
ooooo1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรายบุคคล (Individual Connection) การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรายบุคคล คือ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากที่บ้าน (Home user) ซึ่งยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตก่อน จากนั้นจะได้เบอร์โทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต รหัสผู้ใช้ (User name) และรหัสผ่าน(Password) ผู้ใช้จะเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ตได้โดยใช้โมเด็มที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้หมุนไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต จากนั้นจึงสามารถใช้ งานอินเตอร์เน็ตได้
oooooองค์ประกอบของการใช้อินเตอร์เน็ตรายบุคคล
ooooo1. โทรศัพท์
ooooo2. เครื่องคอมพิวเตอร์
ooooo3. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้เบอร์โทรศัพท์ รหัสผู้ใช้และรหัสผ่าน
ooooo4. โมเด็ม (Modem)
ooooo2. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบองค์กร (Corporate Connection) การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบองค์กรนี้จะพบได้ทั่วไปตามหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หน่วยงานต่างๆ เหล่านี้จะมีเครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network : LAN) เป็นของตัวเอง ซึ่งเครือข่าย LAN นี้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลา ผ่านสายเช่า (Leased line) ดังนั้น บุคลากรในหน่วยงานจึงสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลา การใช้อินเตอร์เน็ตผ่านระบบ LAN ไม่มีการสร้างการเชื่อมต่อ(Connection) เหมือนผู้ใช้รายบุคคลที่ยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเตอร์เน็ต
การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย (Wireless Internet)
ooooo1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สายผ่านเครื่องโทรศัพท์บ้านเคลื่อนที่ PCT เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note book) และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pocket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็มชนิด PCMCIA ของ PCT ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตไร้ได้ ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลได้
ooooo2. การใช้งานอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือโดยตรง (Mobile Internet)
1. WAP (Wireless Application Protocol) เป็นโปรโตคอลมาตรฐานของอุปกรณ์ไร้สายที่ใช้งานบนอินเตอร์เน็ต ใช้ภาษา WML (Wireless Markup Language) ในการพัฒนาขึ้นมา แทนการใช้ภาษา HTML (Hypertext markup Language) ที่พบใน www โทรศัพท์มือถือปัจจุบัน หลายๆยี่ห้อ จะสนับสนุนการใช้ WAP เพื่อท่องอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 9.6 kbps และการใช้ WAP ท่องอินเตอร์เน็ตนั้น จะมีการคิดอัตราค่าบริการเป็นนาทีซึ่งยังมีราคาแพง
2. GPRS (General Packet Radio Service) เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้โทรศัพท์มือถือสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตด้วยความเร็วสูง และสามารถส่งข้อมูลได้ในรูปแบบของมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย ข้อความ ภาพกราฟิก เสียง และวีดิโอ ความเร็วในการรับส่งข้อมูลด้วยโทรศัพท์ที่สนับสนุน GPRS อยู่ที่ 40 kbps ซึ่งใกล้เคียงกับโมเด็มมาตรฐานซึ่งมีความเร็ว 56 kbps อัตราค่าใช้บริการคิดตามปริมาณข้อมูลที่รับ-ส่ง ตามจริง ดังนั้นจึงทำให้ประหยัดกว่าการใช้ WAP และยังสื่อสารได้รวดเร็วขึ้นด้วย
3. โทรศัพท์ระบบ CDMA (Code Division Multiple Access) ระบบ CDMA นั้น สามารถรองรับการสื่อสารไร้สายความเร็วสูงได้เป็นอย่างดี โดยสามารถทำการรับส่งข้อมูลได้สูงสุด 153 Kbpsซึ่งมากกว่าโมเด็มที่ใช้กับโทรศัพท์ตามบ้านที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เพียง56 kbps นอกจากนี้ ระบบ CDMA ยังสนับสนุนการส่งข้อมูลระบบมัลติมีเดียได้ด้วย
4. เทคโนโลยี บลูทูธ (Bluetooth Technology) เทคโนโลยีบลูทูธถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับการสื่อสารแบบไร้สาย โดยใช้้หลักการการส่งคลื่นวิทยุ ที่อยู่ในย่านความถี่ระหว่าง 2.4 – 2.4 GHz ในปัจจุบันนี้ได้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้เทคโนโลยีไร้สายบลูธูทเพื่อใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายๆชนิด เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์พ็อคเก็ตพีซี
ooooo3. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโน้ตบุ๊ก(Note book) และ เครื่องปาล์ม (Palm)oผ่าน โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุน GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาพ่วงต่อ ไม่ว่าจะเป็น Note Book หรือ Palm และในปัจจุบันบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้มีการผลิต SIM card ที่เป็น Internet SIM สำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

software

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อุปกรณ์เทคโนโลยีสม้ยใหม่




            Wearable devices will proliferate








Wearable devices will proliferate


     อุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยการจุด

ประกายความหวังสำหรับอนาคตที่เริ่มจาก Google Glass แว่นตา

อัจฉริยะจากค่าย Google ที่ปรากฏออกมาทำให้มีผู้ผลิตอุปกรณ์ไอที

ชั้นนำเริ่มคิดค้นหาสิ่งใหม่ๆ มาตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคตมากขึ้น 

และในปี 2014 จะเป็นปีแห่งการแตกหน่อสินค้าไอทีประเภทอุปกรณ์

สวมใส่อีกมากมายที่เราคาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นนาฬิกาไฮเทค 

Sony Smartwatch และ Samsung Galaxy Gear ที่ถูกนำมาวาง

ขายเคียงคู่กับสมาร์ทโฟนในร้านค้าชั้นนำหลายแห่งแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์


วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อุปกรณ์คอมพิวเตอร์


CMOS คืออะไร

          CMOS (ซีมอส) ย่อมาจาก "Complementary Metal Oxide Semiconductor" เป็นชิปไอซีที่ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นค่าเฉพาะของแต่ละระบบ เพื่อให้ Bios (ไบออส) นำไปใช้ในการบู๊ตระบบ ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ใน CMOS เช่น เวลา และวันที่ของระบบ ค่าของฮาร์ดดิสก์ และไดรว์ซีดี/ดีวีดี, การปรับค่าความเร็วในการอ่านเขียนของแรม เป็นต้น เป็นชิปสารกึ่งตัวนำที่ถูกติดตั้งแบบออนบอร์ดมากับเมนบอร์ดเลย เราจะมองไม่เห็นตัวชิปเพราะมันถูกผนวกเข้ากับชิปเซ็ต ชิป CMOS เป็นหน่วยความจำที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้กินไฟน้อย และทำงานได้เร็ว

CMOS1

          เนื่องจาก CMOS ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแรมทำให้ต้องการไฟเลี้ยงจากแบตเตอรรี่ (CMOS battery) เพื่อให้ข้อมูลคงอยู่ หากแบตเตอรี่หมดข้อมูลก็จะหายไป ก็จำเป็นต้องเซ็ตค่าต่าง ๆ กันใหม่ใน CMOS Setup บางครั้งที่เครื่องเสีย เช่น มีการโอเวอร์คล็อก คือ ปรับสปีดความถี่แล้วเครื่องรับไม่ได้ เมื่อเปิดเครื่องก็จะไม่ยอมบู๊ต เราก็จะใช้การ clear CMOS โดยการถอดแบตเตอรี่ เพื่อเครียร์ค่าการเซ็ตอัพ

แบตเตอรี่ CMOS
CMOS2

          แบตเตอรี่ หรือ บ้านเราเรียกกันว่า "ถ่านซีมอส (CMOS batteries) หรือแบตเตอรี่แบคอัพ" ทำหน้าที่จ่ายไฟเลี้ยงให้กับซีมอส เนื่องจาก CMOS นั้นใช้เทคโนโลยีของแรมจึงต้องมีไฟเลี้ยงเพื่อป้องกันค่าการเซ็ตอัพภายในสูญหาย
          ในยุคแรกแบตเตอรี่มักจะมีลักษณะเป็นกระป๋อง ติดตั้งไว้บนเมนบอร์ด แต่แบตเตอรี่แบบนี้จะสร้างออกไซด์ขึ้นมารอบตัวมัน และไปกัดกินวงจร ต่อมาจึงเลิกใช้ และเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่แบบ ลิเธียม (Lithium Battery) ที่มีลักษณะกลมแบนเหมือนเหรียญหน้าตาคล้ายถ่านนาฬิกา แต่จะมีขนาดใหญ่กว่า สำหรับอายุการใช้งานของถ่านไบออส ตามมารตรฐานแล้วจะมีอายุถึง 10 ปี อย่างไรก็ตามเวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสภาพแวดล้อมภายในคอมพิวเตอร์
          ในการทำงานนั้น ทั้ง BIOS และ CMOS ก็จะทำงานร่วมกันโดย BIOS จะใช้ข้อมูลที่เก็บอยู่ใน CMOS ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็คือข้อมูลที่เกิดจากการเซ็ตอัพโดยผู้ใช้เอง ซึ่งจะเป็นข้อมูลเฉพาะของเครื่อง ฉะนั้นทุก ๆ ครั้งที่คุณเปิดเครื่อง BIOS ก็จะไปดึงข้อมูลที่

ประเภทของระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ


ระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ 
ระบบสารสนเทศแบบ DSS เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งมีลักษณะมีโครงสร้างไม่ชัดเจน โดยนำข้อมูลมาจากหลายแหล่งช่วยในการนำเสนอและมีลักษณะยืดหยุ่นตามความต้องการ

ลักษณะของ DSS
1) ระบบสารสนเทศที่ใช้สำหรับการะบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ 
ระบบสารสนเทศแบบ DSS เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งมีลักษณะมีโครงสร้างไม่ชัดเจน โดยนำข้อมูลมาจากหลายแหล่งช่วยในการนำเสนอและมีลักษณะยืดหยุ่นตามความต้องการ

ลักษณะของ DSS
1) ระบบสารสนเทศที่ใช้สำหรับการสนับสนุนผู้ตัดสินใจทางการบริหารทั้งที่เป็นตัวบุคคลหรือกลุ่ม โดยการตัดสินใจนั้นจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่มีลักษณะเป็นแบบ ไม่มีโครงสร้าง (unstructured situations) โดยจะมีการนำวิจารณญาณของมนุษย์กับข้อมูล จากคอมพิวเตอร์มาใช้ประกอบในการตัดสินใจ
2) ระบบ DSS ช่วยในการตอบสนองความต้องการที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนโดยผู้ใช้สามารถปรับข้อมูลใน DSS ได้ตลอดเวลาเพื่อจัดการกับเงื่อนไขต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้การวิเคราะห์ที่เรียกว่า Sensitivity Analysis
3) ช่วยในการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วสูง เพื่อใช้ประกอบในการกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขัน ดังนั้น DSS จึงมีลักษณะการโต้ตอบได้ (interactive)
4) เสนอทางวิเคราะห์ในทางเลือกต่างๆ ในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน
5) จัดการเก็บข้อมูลซึ่งมาจากหลายแหล่งได้ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน
6) นำเสนอได้ทั้งรายงานที่เป็นข้อความและกราฟฟิค

Sensitivity Analysis
DSS มีความสามารถในการวิเคราะห์ในลักษณะที่เรียกว่า Sensitivity Analysis ซึ่งเป็นการศึกษาถึงผลการเปลี่ยนแปลงของโมเดลส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายๆ ส่วน โดยปกติจะดูว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรด้านปัจจัยนำเข้าจะส่งผลต่อตัวแปรด้านผลผลิต (output) อย่างไร

Sensitivity Analysis มี 2 ประเภทที่สำคัญ คือ (Turban et al.,2001)
1) What-if analysis เป็นการวิเคราะห์ว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงของ ปัจจัยนำเข้าจะมีผลกระทบต่อผลผลิตอย่างไร เช่น หากงบประมาณด้านโฆษณาเกินกว่าที่ประมาณการไว้ 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแบ่งการตลาดจะเป็นอย่างไร
2) การวิเคราะห์หาเป้าหมาย (Goal-seeking analysis) เป็นการวิเคราะห์แบบถอยหลัง (backward solution) เป็นการวิเคราะห์ว่ามูลค่าของปัจจัยนำเข้าควรเป็นเท่าไรจึงจะบรรลุเป้าหมายด้านผลผลิตในระดับที่ตั้งไว้ เช่น ผู้บริหารอาจจะต้องการทราบว่าถ้าต้องการกำไร 2.7 ล้านบาท จะต้องมีปริมาณขายจำนวนเท่าไร ซึ่งการหาเป้าหมายนั่นเอง
ส่วนประกอบและโครงสร้างของ DSS
ระบบ DSS มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ การจัดการด้านข้อมูล (Data management) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์ (user interface) และการจัดการโมเดล (model management) (Turban et al.,2001)
1) การจัดการข้อมูล (Data management) ประกอบด้วย ฐานข้อมูลและวิธีการดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในการตัดสินใจมาใช้ โดยข้อมูลเหล่านี้อาจจะมาจากดาตาแวร์เฮาส์ของบริษัท หรือฐานข้อมูลปกติทั่วไป หรือจากแหล่งภายนอกก็ได้
2) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์ (User interface) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารและสั่งงานระบบ DSS ได้รูปแบบที่ง่ายที่สุดอาจจะใช้โปรแกรมสเปรดชีท (spreadsheet) หรืออาจจะใช้รูปภาพกราฟฟิคก็ได้
3) การจัดการโมเดล (Model management) ซึ่งประกอบด้วยซอฟต์แวร์ด้านการเงิน สถิติ หรือโมเดลเชิงปริมาณอื่นๆ ซึ่งมีความสามารถในการวิเคราะห์
4) การจัดการกับความรู้ (Knowledge management) เป็นระบบที่ช่วยป้อนความรู้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะ ระบบนี้จะมีเฉพาะ DSS บางประเภทเท่านั้น

ประเภทของ DSS 
ระบบ DSS จัดแบ่งตามจำนวนของผู้ใช้ได้เป็น 2 ประเภท คือ ระบบมีที่สนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล ซึ่งเรียกว่า Executive Information Systems (EIS) และระบบที่สนับสนุนการตัดสินใจของกลุ่ม (Group Decision Systems) นอกจากนี้ยังมี DSS ประเภทอื่นๆ อีก เช่น ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic Information Systems-GIS) และระบบ Expert Systemsรสนับสนุนผู้ตัดสินใจทางการบริหารทั้งที่เป็นตัวบุคคลหรือกลุ่ม โดยการตัดสินใจนั้นจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่มีลักษณะเป็นแบบ ไม่มีโครงสร้าง (unstructured situations) โดยจะมีการนำวิจารณญาณของมนุษย์กับข้อมูล จากคอมพิวเตอร์มาใช้ประกอบในการตัดสินใจ
2) ระบบ DSS ช่วยในการตอบสนองความต้องการที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนโดยผู้ใช้สามารถปรับข้อมูลใน DSS ได้ตลอดเวลาเพื่อจัดการกับเงื่อนไขต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้การวิเคราะห์ที่เรียกว่า Sensitivity Analysis
3) ช่วยในการตัดสินใจที่ต้องการความรวดเร็วสูง เพื่อใช้ประกอบในการกำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขัน ดังนั้น DSS จึงมีลักษณะการโต้ตอบได้ (interactive)
4) เสนอทางวิเคราะห์ในทางเลือกต่างๆ ในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อน
5) จัดการเก็บข้อมูลซึ่งมาจากหลายแหล่งได้ ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน
6) นำเสนอได้ทั้งรายงานที่เป็นข้อความและกราฟฟิค

Sensitivity Analysis
DSS มีความสามารถในการวิเคราะห์ในลักษณะที่เรียกว่า Sensitivity Analysis ซึ่งเป็นการศึกษาถึงผลการเปลี่ยนแปลงของโมเดลส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายๆ ส่วน โดยปกติจะดูว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลงตัวแปรด้านปัจจัยนำเข้าจะส่งผลต่อตัวแปรด้านผลผลิต (output) อย่างไร

Sensitivity Analysis มี 2 ประเภทที่สำคัญ คือ (Turban et al.,2001)
1) What-if analysis เป็นการวิเคราะห์ว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงของ ปัจจัยนำเข้าจะมีผลกระทบต่อผลผลิตอย่างไร เช่น หากงบประมาณด้านโฆษณาเกินกว่าที่ประมาณการไว้ 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแบ่งการตลาดจะเป็นอย่างไร
2) การวิเคราะห์หาเป้าหมาย (Goal-seeking analysis) เป็นการวิเคราะห์แบบถอยหลัง (backward solution) เป็นการวิเคราะห์ว่ามูลค่าของปัจจัยนำเข้าควรเป็นเท่าไรจึงจะบรรลุเป้าหมายด้านผลผลิตในระดับที่ตั้งไว้ เช่น ผู้บริหารอาจจะต้องการทราบว่าถ้าต้องการกำไร 2.7 ล้านบาท จะต้องมีปริมาณขายจำนวนเท่าไร ซึ่งการหาเป้าหมายนั่นเอง
ส่วนประกอบและโครงสร้างของ DSS
ระบบ DSS มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ การจัดการด้านข้อมูล (Data management) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์ (user interface) และการจัดการโมเดล (model management) (Turban et al.,2001)
1) การจัดการข้อมูล (Data management) ประกอบด้วย ฐานข้อมูลและวิธีการดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในการตัดสินใจมาใช้ โดยข้อมูลเหล่านี้อาจจะมาจากดาตาแวร์เฮาส์ของบริษัท หรือฐานข้อมูลปกติทั่วไป หรือจากแหล่งภายนอกก็ได้
2) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์ (User interface) การติดต่อระหว่างผู้ใช้และคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารและสั่งงานระบบ DSS ได้รูปแบบที่ง่ายที่สุดอาจจะใช้โปรแกรมสเปรดชีท (spreadsheet) หรืออาจจะใช้รูปภาพกราฟฟิคก็ได้
3) การจัดการโมเดล (Model management) ซึ่งประกอบด้วยซอฟต์แวร์ด้านการเงิน สถิติ หรือโมเดลเชิงปริมาณอื่นๆ ซึ่งมีความสามารถในการวิเคราะห์
4) การจัดการกับความรู้ (Knowledge management) เป็นระบบที่ช่วยป้อนความรู้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเฉพาะ ระบบนี้จะมีเฉพาะ DSS บางประเภทเท่านั้น

ประเภทของ DSS 
ระบบ DSS จัดแบ่งตามจำนวนของผู้ใช้ได้เป็น 2 ประเภท คือ ระบบมีที่สนับสนุนการตัดสินใจของบุคคล ซึ่งเรียกว่า Executive Information Systems (EIS) และระบบที่สนับสนุนการตัดสินใจของกลุ่ม (Group Decision Systems) นอกจากนี้ยังมี DSS ประเภทอื่นๆ อีก เช่น ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic 

ความแตกต่างของ EIS กับ GDSS

EIS (Executive Information System: EIS)ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System: EIS)

ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง คือ MIS ประเภทพิเศษที่ถูกพัฒนาสำหรับผู้บริหารระดับสูง โดยเฉพาะช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงที่ไม่คุ้นเคยกับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถ ใช้ระบบสารสนเทศได้ง่ายขึ้น โดยใช้เมาส์เลื่อนหรือจอภาพแบบสัมผัส เพื่อเชื่อมโยงข่าวสารระหว่างกันทำให้ผู้บริหารไม่ต้องจำคำสั่ง



คุณสมบัติของระบบ EIS

     - มีการใช้งานบ่อย     - ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง     - ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทำงานของผู้บริหาร     - การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ ควบคุม     - การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน     - ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร ตาราง ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย     - การใช้งานภาพกราฟิกสูง จะใช้รูปแบบการนำเสนอต่างๆ     - ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใดประโยชน์ของของระบบ EIS     1. ง่ายต่อผู้บริหารระดับสูงในการใช้งาน     2. การใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์     3. ให้สารสนเทศสรุปของบริษัทในเวลาที่ต้องการ     4. ทำให้สามารถเข้าในสารสนเทศได้ดีขึ้น     5. มีการกรองข้อมูลให้ประหยัดเวลา     6. ทำให้ระบบสามารติดตามสารสนเทศได้ดีขึ้นGDSS (Group Decision Support Systems)ลักษณะของระบบสนันสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม1. เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่การนำองค์ประกอบต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว มาประยุกต์ใช้แต่จะต้องสร้างขึ้นมาใหม่จึงจะเรียกว่าเป็นระบบ GDSS2. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม ถูกออกแบบมาโดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจขององค์ประชุม3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอาจถูกออกแบบมาเพียงเพื่อต้องการแก้ปัญาหาเฉพาะหน้า หรือแก้ไขปัญหาทั่วไปก็ได้4. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะต้องง่ายต่อการเรียนรู้ และใช้งานได้สะดวก อีกทั้งยังอาจให้ความหลากหลายกับผู้ใช้ในแต่ละระดับที่เกี่ยวข้องกับความรู้ การประมวลผล และการสนับสนุนการตัดสินใจ5. มีกลไกที่ให้ผลในเรื่องการปรับปรุงจุดบกพร่องที่เกิดจกพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมประชุม เช่นการขจัดความขัดแย้งในที่ประชุม6. ระบบจะต้องออกแบบให้มีความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมต่างๆ เช่น กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ประโยชน์ของ GDSS1. ช่วยในการเตรียมความพร้อมในการประชุม2. มีการจัดเตรียมข้อมูลและสารสนเทศที่เหมาะสมในการประชุม3. สร้างบรรยากาศในการร่วมมือกันระหว่างสมาชิก4. สนับสนุนการมีส่วนร่วมและกระตุ้นการแสดงความคิดเห็นของสมาชิก5. มีการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของปัญหา6. ช่วยให้การประชุมบรรลุผลในระยะเวลาที่สมควร7. มีหลักฐานการประชุมแน่ชัดความแตกต่างของระบบ EIS และ ระบบ GDSS   ระบบของ GDSS จะเน้นออกแบบไปในทางที่ประชากรเป็นกลุ่มๆ ทางด้านความสามารถนั้นจะต้องหาบุคลากรที่มีความชำนาญในด้านนี้พอสมควร ในด้านข้อมูลถือว่ามีความละเอียดสูงโดยจะได้รับความคิดเห็นได้หลากหลาย แล้วนำข้อเสนอหรือความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขได้   ส่วนของระบบ EIS จะเน้นไปในทางของผู้บริหารเพียงอย่างเดียว ข้อมูลที่ได้มีความรวดเร็วเป็นสถานการณ์ปัจจุบัน โดย จะสามารถวิเคราะห์แนวโน้มในภายภาคหน้าได้ ซึ่งเป็นระบบสำคัญให้กับองค์กรหรือบริษัทของผู้บริหารเป็นอย่างดี เป็นตัวช่วยในหารตัดสินใจที่ดีคุณสมบัติของระบบ EIS     - มีการใช้งานบ่อย     - ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง     - ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทำงานของผู้บริหาร     - การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ ควบคุม     - การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน     - ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร ตาราง ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย     - การใช้งานภาพกราฟิกสูง จะใช้รูปแบบการนำเสนอต่างๆ     - ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใดประโยชน์ของของระบบ EIS     1. ง่ายต่อผู้บริหารระดับสูงในการใช้งาน     2. การใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์     3. ให้สารสนเทศสรุปของบริษัทในเวลาที่ต้องการ     4. ทำให้สามารถเข้าในสารสนเทศได้ดีขึ้น     5. มีการกรองข้อมูลให้ประหยัดเวลา     6. ทำให้ระบบสามารติดตามสารสนเทศได้ดีขึ้นGDSS (Group Decision Support Systems)ลักษณะของระบบสนันสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม1. เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่การนำองค์ประกอบต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว มาประยุกต์ใช้แต่จะต้องสร้างขึ้นมาใหม่จึงจะเรียกว่าเป็นระบบ GDSS2. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม ถูกออกแบบมาโดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจขององค์ประชุม3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอาจถูกออกแบบมาเพียงเพื่อต้องการแก้ปัญาหาเฉพาะหน้า หรือแก้ไขปัญหาทั่วไปก็ได้4. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะต้องง่ายต่อการเรียนรู้ และใช้งานได้สะดวก อีกทั้งยังอาจให้ความหลากหลายกับผู้ใช้ในแต่ละระดับที่เกี่ยวข้องกับความรู้ การประมวลผล และการสนับสนุนการตัดสินใจ5. มีกลไกที่ให้ผลในเรื่องการปรับปรุงจุดบกพร่องที่เกิดจกพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมประชุม เช่นการขจัดความขัดแย้งในที่ประชุม6. ระบบจะต้องออกแบบให้มีความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมต่างๆ เช่น กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ประโยชน์ของ GDSS1. ช่วยในการเตรียมความพร้อมในการประชุม2. มีการจัดเตรียมข้อมูลและสารสนเทศที่เหมาะสมในการประชุม3. สร้างบรรยากาศในการร่วมมือกันระหว่างสมาชิก4. สนับสนุนการมีส่วนร่วมและกระตุ้นการแสดงความคิดเห็นของสมาชิก5. มีการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของปัญหา6. ช่วยให้การประชุมบรรลุผลในระยะเวลาที่สมควร7. มีหลักฐานการประชุมแน่ชัดความแตกต่างของระบบ EIS และ ระบบ GDSS   ระบบของ GDSS จะเน้นออกแบบไปในทางที่ประชากรเป็นกลุ่มๆ ทางด้านความสามารถนั้นจะต้องหาบุคลากรที่มีความชำนาญในด้านนี้พอสมควร ในด้านข้อมูลถือว่ามีความละเอียดสูงโดยจะได้รับความคิดเห็นได้หลากหลาย แล้วนำข้อเสนอหรือความคิดเห็นมาปรับปรุงแก้ไขได้   ส่วนของระบบ EIS จะเน้นไปในทางของผู้บริหารเพียงอย่างเดียว ข้อมูลที่ได้มีความรวดเร็วเป็นสถานการณ์ปัจจุบัน โดย จะสามารถวิเคราะห์แนวโน้มในภายภาคหน้าได้ ซึ่งเป็นระบบสำคัญให้กับองค์กรหรือบริษัทของผู้บริหารเป็นอย่างดี เป็นตัวช่วยในหารตัดสินใจที่ดีInformation Systems-GIS) และระบบ Expert Systems